วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พลาโต้ (Plato พ.ศ.116-196)

 
พลาโต้ (Plato พ.ศ.116-196)
พลาโต้ (Plato พ.ศ.116-196)

พลาโต้ (Plato พ.ศ.116-196)
พลา โต้มีชื่อเดิมว่า อริสโตคลีส เกิดที่กรุงเอเธนส์ในช่วงเวลาที่เอเธนส์กำลังทำสงครามกับสปาร์ตา ตระกูลของพลาโต้เป็นตระกูลที่สำคัญมากในเอเธนส์ยุคนั้น บิดาของท่านชื่ออริสตอน สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโคดรุส ผู้เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเอเธนส์ มารดาของพลาโต้ชื่อเปริคตีโอเน เป็นน้องสาวของชาร์มีเดสและเป็นลูกพี่ลูกน้องกับครีเตียส เมื่อพลาโต้มีอายุได้ 23 ปี ชาร์มีเดสและครีเตียสได้เป็นกำลังสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลชุดสามสิบทรราช หลังจากเอเธนส์พ่ายสงครามให้กับสปาร์ตา

พลาโต้สังกัดอยู่ในวงสมาคมของชนชั้นปกครอง ความใฝ่ฝันในวัยหนุ่มของพลาโต้จึงอยู่ที่อำนาจทางการเมือง พลาโต้ได้ฟังปรัชญาจากโสคราตีสเมื่ออายุได้ 20 ปี นับแต่นั้นพลาโต้ได้ติดตามฟังโสคราตีสเรื่อยมา จนกระทั่งโสคราตีสถูกประหารชีวิต

เมื่อ พ.ศ.139 สงครามระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตายุติลง โดยสปาร์ตาเป็นฝ่ายมีชัยเหนือเอเธนส์ ผลที่ตามมาจากสงครามคือ รัฐบาลประชาธิปไตยของเอเธนส์ได้สูญเสียอำนาจทางการเมืองให้กับรัฐบาล คณาธิปไตยซึ่งนำโดยชนชั้นสูงอย่างชาร์มีเดสและครีเตียส พลาโต้ได้รับการทาบทามจากญาติของตนให้เข้าร่วมบริหารนครรัฐด้วย แต่พลาโต้ก็ได้ตัดสินใจรอดูผลงานของรัฐบาลอยู่วงนอก รออยู่ไม่นานพลาโต้ก็ได้เห็นการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล มีโสคราตีสคนเดียวเท่านั้นที่กล้าออกปากคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการของ รัฐบาลทรราชนี้ และโสคราตีสอาจจะถูกประหารชีวิตถ้ารัฐบาลชุดนี้ไม่ถูกโค่นล้มหลังจากเสวย อำนาจได้ไม่ทันครบปี

รัฐบาลประชาธิปไตยได้อำนาจปกครองแทนที่รัฐบาลคณาธิปไตยที่ล้มไป พลาโต้หวังว่าสภาพการณ์จะดีขึ้น แต่กลับกลายเป้นตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้ใช้อำนาจเผด็จการโดยเสียงข้างมาก มีการปฏิบัติการจองเวรกับปรปักษ์ทางการเมืองผู้เคยสนับสนุนรัฐบาลคณาธิปไตย และที่ร้ายสุดในทัศนะของพลาโต้คือ การประหารชีวิตของโสคราตีสผู้ที่พลาโต้เห็นว่า “เป็นคนมีคุณธรรมมากที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่” ความศรัทธาที่พลาโต้เคยให้แก่ระบอบการปกครองของเอเธนส์ได้หมดสิ้นไปนับ ตั้งแต่บัดนั้น พลาโต้เด็กหนุ่มผู้มีอุดมการณ์สูงได้มองเห็นการเมืองยุคนั้นเป็นเรื่องที่ สกปรก

เมื่อโสคราตีสถูกประหารชีวิต พลาโต้เห็นว่าหากตนขืนอยู่ในเอเธนส์ต่อไปฏ้อาจได้รับเคราะห์กรรมเหมือนกับ บริษัทบริวารของรัฐบาลคณาธิปไตยคนอื่นเป็นได้ พลาโต้จึงเดินทางไปยังนครรัฐข้างเคียงชื่อเมการา ได้พบกับยูคริตีสผู้เป็นศิษย์ของโสคราตีสด้วยเช่นกัน ที่เมืองเมการาพลาโต้ได้ศึกษาปรัชญาของปาร์มีเดสอย่างลึกซึ้งจากยูคลิตีส ออกจากเมการา พลาโต้ได้เดินทางต่อไปไซรีนี อียิปต์ อิตาลี และซิซิลี ที่อิตาลี พลาโต้ได้ติดต่อกับสำนักปรัชญาพิธากอรัส และได้ศึกษาปรัชญาสำนักนั้น ส่วนที่ซิซิลี พลาโต้ได้ไปเยือนราชสำนักของกษัตริย์ดิโอนีซิอุสที่หนึ่งแห่งเมืองซีราคิวส์ พลาโต้ได้ผูกมิตรกับดีออน ผุ้เป็นบุตรเขยของพระเจ้าดิโอนีซิอุส มิตรภาพครั้งนั้นเป้นเหตุให้พลาโต้ต้องกลับไปผจญภัยที่ซิซิลีอีก อย่างไรก็ตาม พลาโต้พำนักอยู่ในซิซิลีได้ไม่นานก็ถูกพระเจ้าดิโอนิซิอุสสั่งจับตัวส่งให้ นายพลชาวสปาร์ตาคนหนึ่ง พลาดต้ถูกนำไปขายในตลาดทาสที่เกาะอีจินา แต่ได้รับการไถ่ตัวเป็นอิสระโดยเพื่อนจากไซรีนี รอดพ้นจากการตกเป็นมาสมาแล้ว พลาโต้เดินทางกลับเอเธนส์หลังจากที่ท่องเที่ยวในต่างแดนติดต่อกันนานถึงสิบ ปี

ก่อตั้งอะคาเดมี
กลับถึงเอเธนส์พลาโต้ไม่คิจะนำตัวเข้าไปผูกพันกับการเมืองของเอ เธนส์ ท่านเลือกดำเนินชีวิตอย่างนักปรัชญา อุทิศตัวให้กับการสร้างคนให้เป็นนักปรัชญาแลนักปกครองที่ดี ท่านไม่ได้ออกไปแผ่แพร่ปรัชญาตามย่านชุมชนอย่างที่โสคราตีสทำ พลาโต้ตั้งสำนักศึกษาขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่เยาวชนกรีก พลาโต้ตั้งชื่อสำนักแห่งนี้ว่า อะคาเดมี(Academy) ตามชื่อทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นบริเวณสวนสาธารณะที่ชาวเมืองสร้างเป็นที่ระลึก แก่วีรบุรุษชื่ออะคาเดมุส อะคาเดมีเปิดสอนครั้งแรกใน พ.ศ.156 เมื่อพลาโต้มีอายุได้ 40 ปี อะคาเดมีนี้นับว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรีกเอกลักษณ์พิเศษของอะคาเดมี อยู่ที่การศึกษาวิจัยด้วยวิทยาศาสตร์ หลักสูตรในอะคาเดมีได้รับการปรับปรุงเสมอ วิชาหลักที่คงอยู่เสมอต้นเสมอปลายได้แก่คณิตศาสตร์และปรัชญาการเมือง

งานหลักของพลาโต้ในอะคาเดมีคือ กล่าวคำบรรยายแก่นักศึกษา ในการบรรยายแต่ละครั้ง พลาโต้ไม่มีต้นฉบับของคำบรรยาย และการบรรยายบางครั้งก็เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าฟังได้

ผจญภัยในซิซิลี
พลาโต้อยู่ประจำอะคาเดมีติดต่อกันมา จนกระทั่ง พ.ศ.176 พระเจ้าดิโอนีซิอุสที่หนึ่งสวรรคต พระราชโอรสของพระองค์เป็นกษัตริย์ปกครองซีราคิวส์ต่อมาโดยใช้พระนามว่า พระเจ้าดิโอนนีซิอุสที่สอง เนื่องจากกษัตริย์องค์นี้ยังไม่มีประสบการณ์ในการปกครองแผ่นดิน อำนาจส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในมือของดีออนผู้เป็นมิตรของพลาโต้ ดีออนแนะนำให้พระเจ้าดิโอนิซิอุสที่สองมีหนังสือเชิญพลาโต้ไปเป็นพระอาจารย์ ถวายความรู้เรื่องการเมืองการปกครอง พลาโต้ตกลงรับคำเชิญ พลาโต้เดินทางไปซีราคิวส์อีกเพื่อสร้างคนให้เป็นกษัตริย์นักปรัชญาหรือ ธีรราช

ในเบื้องต้นเหตุการณ์ทำท่าว่าจะราบรื่น พระเจ้าดิโอนิซิอุสที่สองต้อนรับพลาโต้ด้วยความกระตือรือร้น บทเรียนแรกที่พลาโต้บรรยายถวายคือวิชาเลขคณิต ไม่นานนักการอบรมของพลาโต้ต้องล้มเหลวเพราะพระเจ้านิโอนีซีอุสทรงเบื่อหน่าย การศึกษา และที่สำคัญคือทรรงริษยาเมื่อเห็นดีออนมีความสัมพันธ์อันดีกับพลาโต้ พลาโต้ต้องกลับเอเธนส์ และต่อมาดีออนได่มาพำนักอยู่กับพลาโต้ที่อะคาเดมี

ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าดิโอนิซิอสที่สองกับพลาโต้ยังไม่ขาด สะบั้น กษัตริย์หนุ่มส่งสาส์นรายงานถึงความก้าวหน้าทางการศึกษาของพระองค์แก่พลาด ต้อยู่เสมอ ต่อมาทรงขอร้องให้พลาโต้กลับไปถวายความรู้แด่พระองค์ พลาโต้จึงเดินทางกลับไปซีราคิวส์อีกใน พ.ศ.182 ด้วยความหวังว่าตนจะสามารถปรับความเข้าใจระหว่างกษัตริย์หนุ่มกับดีออน แต่เหตุการณ์กลับทรุดหนักลงไปอีก พระเจ้านิโอนีซิอุสทรงประกาศยึดทรัพย์สินของดีออนและบีบบังคับให้ภรรยาของดี ออนแต่งงานใหม่ พลาโต้จึงขออนุญาตกลับเอเธนส์แต่ถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ ชีวิตของพลาโต้ตกอยู่ในหั้วงอันตราย แต่โดยการไกล่เกลี่ยของอาร์คีทัส แห่งตาเรนตุม พลาโต้จึงได้รับอนุญาตใหเกลับเอเธนส์เมื่อ พ.ศ.183 การผจญภัยของพลาโต้จบลงตรงนี้ พลาโต้ถึงแก่กรรมอย่างสงบใน พ.ศ.196

ปรัชญาของพลาโต้
ญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้
ทฤษฎีความรู้ของพลาโต้มีทัศนะบางอย่างที่เหมือนกับโสคราตีส ประการแรก พลาโต้เห็นว่าความรู้ระดับผัสสะหรือสัญชาน ไม่ใช่ “ความรู้” การรับรู้ในระดับสัญชานเป็นเพียง “ทัศนะ” การปฏิเสธสัญชานว่าเป็นบ่อเกิดความรู้มีเหตุสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ
  1. สัญชานของแต่ละคนให้ความรู้ไม่ตรงกัน ความรู้ระดับสัญชานจึงเป็นเพียงทัศนะส่วนตัว
  2. สัญชานไม่ช่วยให้เราค้นพบความจริงแท้ เพราะสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสเป็นเพียงสิ่งเฉพาะ ความจริงแท้เป็นสิ่งสากล
ทัศนะของพลาโต้ ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้มาจากผัสสะหรือสัญชาน แต่ความรู้ที่แท้จริงได้มาจากเหตุผล ข้อแตกต่างระหว่างศิษย์และอาจารย์อยู่ที่ โสคราตีส ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนภาพ พลาโต้ ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนคติ

วัสดุสิ่งของที่เราพบเห้นอยู่ในชีวิตประจำวันเป็นเพียงสิ่งจำลองมา จากของจริงต้นฉบับ สิ่งที่เป็นแม่แบบหรือต้นฉบับนั้นได้แก่ “แบบ”(Forms) หรือ “มโนคติ” (Ides) สัญชานให้ความรู้เกี่ยวกับมโนคติ พลาโต้กล่าวว่า คนเราจะค้นพบมโนคติได้ก็โดยการคิดแบบวิภาษวิธี จิตมีวิธีทำวิภาษวิธี พลาโต้อธิบายเรื่องนี้ไว้ใน “เส้นแบ่ง” (The Diveded Line)

เส้นแบ่ง
การรู้จักโลกแห่งเหตุผล พลาโต้เรียกว่า “ความรู้” ส่วนการรู้จักโลกแห่งสัญชานเรียกว่า “ทัศนะ” ในกระบวนการแห่งการรับรู้ จิตมีวิธีทำงานที่แบ่งได้เป็น 4 ลักษณะ
  1. จินตนาการ (Imagining) ในขณะที่ตารับสัมผัสกับภาพของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การรับรู้เกิดขึ้น ประสาทตารายงานภาพที่เห็นไปให้จิต ภาพของสิ่งนั้นที่จิตรับรู้ในขณะนั้นเป็นจินตภาพ(Image) การรับรู้จินตภาพเรียกว่า จินตนาการ
  2. ความเชื่อ (Belief) หากเราคิดถึงใครอย่างมาก เราอาจสร้างจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตา กิริยาท่าทางของเขา แต่เขาที่เราเห็นในจินตนาภาพย่อมสู้เขาที่เราไปพบปะพูดคุยจริงๆ ไม่ได้ การได้พบตัวจริงถือว่าเป็นควารู้ระดับสัญชาน พลาโต้เรียกความรู้ระดับนี้ว่าความเชื่อ
  3. การคำนวณ (Reasoning) การทำให้พบสิ่งที่เป็นสากลด้วยเหตุผล
  4. พุทธิปัญญา (Perfect Intelligence) หมายถึงสภาพจิตที่รับรู้มโนคติโดยตรง ขั้นนี้จิตเป็นอิสระจากสิ่งที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัส จิตเข้าถึงมโนคติได้โดยไม่ต้องผ่านสัญลักษณ์ พุทธิปัญญาเป็นความรู้ที่แท้จริง เพราะเข้าถึงความจริงสูงสุดคือมโนคติ ความรู้จึงหมายถึงการรู้จักมโนคติ
อภิปรัชญา
อภิปรัชญาของพลาโต้เป็นเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีแห่งมโนคติและจักรวาลวิทยา

มโนคติ
มโนคติได้แก่มโนภาพที่มีอยู่จริงภายนอกความคิด มโนภาพคือสิ่งสากล การรู้จักมโนภาพของสิ่งเฉพาะอันใดเท่ากับรู้จักสิ่งสากลของสิ่งเฉพาะอันนั้น มโนคติคือมโนภาพที่มีอยู่จริงภายนอกความคิด แต่เนื่องจากมโนภาพคือสิ่งสากล สามารถพูดใหม่ว่า มโนคติคือสิ่งสากลที่มีอยู่จริงภายนอกความคิดหรือสิ่งสากลที่เป็นความจริง แบบปรนัย

สิ่งสากลเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นหรือรู้ไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัส พลาโต้เรียกสิ่งสากลอันเป็นของจริงอมตะนั้นว่ามโนคติหรือแบบ

ลักษณะของมโนคติ
  1. มโนคติหมายถึงสิ่งสากล
  2. มโนคติมีจำนวนมาก
  3. มโนคติเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยเหตุผล
  4. มโนคติเป็นความจริงปรนัย คือ ความคิดล้วนๆ
  5. มโนคติเป็นสิ่งไม่กินที่ มโนคติเป็นความตฃจริงที่มีอยู่ “ภายนอก” ความคิดของคนเรา
  6. มโนคติไม่ขึ้นกับเวลา เกิดขึ้นได้ทุกขณะ
สรุปเปรียบเทียบมโนคติกับสิ่งเฉพาะ

มโนคติ(Idea) สิ่งเฉพาะ (Particular)
  1. เป็นสิ่งสากล เช่นความเป็นคน หรือคนสากลที่ชี้เฉพาะไม่ได้ เป็นสิ่งที่ชี้เฉพาะได้ว่าเป็นอะไร เช่น โสคราตีส เปริคลีส
  2. ไม่ต้องการที่อยู่อาศัย มีที่อยู่หรือเทศะ
  3. เป็นอกาลิกะคือไม่ขึ้นกับกาละ เป็นกาลิกะคือขึ้นกับกาละมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
  4. เป็นวิสังขารคือไม่มีส่วนประกอบ เป็นสังขารคือมีส่วนประกอบ
  5. เป็นนิจจังคือเที่ยงแท้และอมตะ เป็นอนิจจังคือเปลี่ยนแปลงและดับสลายได้
  6. มีเพียงหนึ่งสำหรับสิ่งเฉพาะแต่ละประเภท มีมากมายตามจำนวนของสิ่งเฉพาะในประเภทเดียวกัน
  7. รู้ได้ด้วยเหตุผล รู้ได้ด้วยสัญชาน
โลกแห่งมโนคติ
โลกของมโนคติเปรียบเหมือนปิรามิดที่มีฐานกว้างแต่ยอดแหล่ม มโนคติที่เป็นยอดสุดหรือประธานสูงสูดในโลกแห่งมโนคติ ได้แก่มโนคติแห่งความดี

มโนคติแห่งความดีเป็นมโนคติประเภทกว้างที่สุด จึงครอบคลุมปกครองมโนคติทั้งหมด มโนคติแห่งความดีมีความสำคัญต่อโลกแห่งมโนคติ

มโนคติกับสิ่งเฉพาะ
พลาโต้ได้ทั้งทฤษฏีสองโลกขึ้น คือโลกแห่งผัสสะกับโลกแห่งมโนคติ สิ่งเฉพาะเป็น “สิ่งจำลอง” หรือ “เลียนแบบ (Copy)” ของมโนคติ สิ่งจำลองมีความเป็นจริงน้อยกว่ามดนคติ มโนคติมีความจริงแท้สูงสุด สิ่งเฉพาะไม่มีความจริงในตัวเอง สิ่งเฉพาะขอยืมความเป็นจริงมาจากมโนคติ สิ่งเฉพาะเป็นจริงก็ต่อเมื่อมีส่วนเหมือนมโนคติ สิ่งฉพาะไม่สามารถเลียนแบบมโนคติได้สมบูรณ์ครบถ้วน ดังนั้นสิ่งเฉพาะจึงมีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น

จักรวาลวิทยา
แก่นแท้ของโลก
แก่นแท้ของโลกแห่งผัสสะไม่ได้เป็นสสาร โลกนี้ไม่มีแก่นแท้ของตัวเอง เพราะโลกแห่งผัสสะเป็นเพียงภาพสะท้อนความเป็นจริงจากโลกแห่งมโนคติเหมือนกับ ดวงจันทร์ที่มีแสงสว่างได้ก็เพราะมันรับแสงจากดวงอาทิตย์แล้วสะท้อนกลับมา โลกแห่งผัสสะคือรอยประทับของมโนคติที่ปรากฏบนสสาร เปรียบเหมือนการประทับตราประจำตำแหน่ง

โลกแห่งผัสสะเกิดจากการที่มโนคติมาปะทะกับสสาร องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดโลกนี้จึงมี 2 ประการ คือมโนคติและสสาร

สสารในปรัชญาของพลาโต้ไม่ใช่สิ่งที่มีรูปร่างตัวตนหรือคุณสมบัติ สำหรับปรัชญาของ พลาโต้ สสารไม่มีคุณลักษณะ ไม่มีรูปร่างตัวตน ไม่เป็นอะไรสักอย่างที่คนเราพอคิดเข้าใจได้ สสารจึงเป็นความว่างเปล่าอย่างยิ่งคือเป็นอภาวะ สสารจึงเป็นหลักการสุดโต่งที่ตรงข้ามกับมโนคติความดีความเป็นและคุณลักษณะ ต่างๆ ในโลกล้วนเนื่องมาจากมโนคติ การประทับตราคือการเกิดโลกแห่งผัสสะ โลกแห่งผัสสะเป็นของเทียม โลกแห่งผัสสะมีความเป็นจริงบางส่วน เพราะมันมีส่วนร่วมกับมโนคติแต่ที่ไม่เป็นจริงอยู่บางส้วนก็เพราะมันมีส่วน ร่วมกับสสาร

แต่สุดท้ายพลาโต้ต้องยอมว่ามีเทพเจ้าอยู่ในปรัชญาของเขา เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ประทับมโนคติลงบนสสาร จึงเกิดตำนานการสร้างโลกขึ้น

ตำนานการสร้างโลก
ในบทสนทนาชื่อ ติเมอุส พลาโต้เขียนถึงการสร้างโลกไว้ว่าพระเจ้าทรงพบว่ามโนคติแยกอยู่ต่างหากจาก สสาร จึงนำแบบหรือมโนคติไปประทับสสารเพื่อสร้างเป็นโลกขึ้น พระเจ้าไม่ได้สร้างมโนคติและสสาร สิ่งทั้งสองมีอยู่ก่อนแล้ว พระเจ้าเพียงทำหน้าที่เป็นสถาปนิกผู้นำเอาสิ่งที่มีอยู่แล้วทั้งสองมาประกอบ เป็นโลกแห่งผัสสะ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นมาคือวิญญาณโลก สิ่งที่เกิดตามมาคือธาตุสี่

พลาโต้เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงดาวทั้งหลายโคจรรอบโลก วิถีโคจรของดวดาวเป็นวงกลม การที่ดวงดาวและโลกเกาะกลุ่มกันอยู่กันเป็นระบบมีระเบียบ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นมีวิญญาณ สำหรับพลาโต้ กฏธรรมชาตินั้นเกิดมาจากวิญญาณโลก

จิตวิทยาของพลาโต้
ประเภทของวิญญาณ
พลาโต้แบ่งวิญญาณออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ
  1. วิญญาณแห่งเหตุผล (Rational Soul) เป็นวิญญาณที่จุติจากโลกแห่งมโนคติมาประจำอยู่ในกายเนื้อ พระเจ้าทรงสร้างวิญญาณส่วนนี้ให้เป็นอมตะ
  2. วิญญาณไร้เหตุผล (Irrational Soul) เป็นวิญญาณที่ประจำอยู่กับร่างกาย เกิดและดับพร้อมกับร่างกาย จึงไม่เป็นอมตะ แบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วนคือ
    วิญญาณฝ่ายสูง เรียกว่าวิญญาณแห่งเจตนารมณ์ (Spirited Soul)
    วิญญาณฝ่ายต่ำ เรียกว่าวิญญาณแห่งความต้องการ (Appetitive Soul)
รวมแล้ววิญญาณของมนุษย์มีอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน คือวิญญาณแห่งเหตุผล วิญญาณแห่งเจตนารมณ์ และวิญญาณแห่งความต้องการ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ก็คือเหตุผล เพราะมนุษย์เท่านั้นมีวิญญาณแห่งเหตุผล

สมมรถภาพของวิญญาณ
  1. สมรรถภาพแห่งเหตุผล วิญญาณแห่งเหตุผลมีสมรถภาพในการใช้เหตุผล จึงทำให้มนุษย์สามารถค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ทำให้มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
  2. สมรรถภาพแห่งเจตนารมณ์ มีสมรรถภาพในการสร้างอารมณ์สะเทือนใจและสร้างอุปนิสัยเป็นวิญญาณส่วนที่ที่ มีลักษณะเป็นกลาง คือสามารถพาคนเราไปสู่เป้าหมายตามที่เหตุผลชักนำ
  3. สมรรถภาพแห่งความต้องการ วิญญาณแห่งความต้องการมีอำนาจทำให้เกิดความต้องการ ซึ่งเท่ากับคำว่าสัญชาตญาณในภาษาปัจจุบัน
จริยศาสตร์ของพลาโต้
ประวัติศาสตร์ที่ทำให้พลาโต้ต้องเสนอจริยศาสตร์มีอยู่ว่า โซฟิสต์ได้เผยแพร่คำสอนโจมตีกฏเกณฑ์ทางศีลธรรมที่ชาวกรีกเชื่อถือและปฏิบัติ สืบต่อกันตามประเพณี อันเป็นเหตุมห้ศีลธรรมอันดีงามของประชาชนถูกบ่อนทำลาย พลาโต้จึงเสนอจริยศาสตร์ออกมาหักล้างคำสอนของโซฟิสต์ โดยพยายามตอบปัญหาความดีคืออะไร ความมีอยู่อย่างเป็นอันตนัยหรือปรนัยคนดีต้องมีคุณธรรมอะไรบ้าง

คัดค้านจริยศาสตร์ของโซฟิสต์
โซฟิสต์เฉลยว่า ความดีคือความพึงพอใจหรือความสุขสำราญ หมายถึงการได้ปรนเปรอความสุขทางประสาทสัมผัส คือรับอารมณ์ที่น่าปรารถนาน่ใคร่และน่าพอใจ โซฟิสต์เห็นว่า สิ่งใดจะเป็นสิ่งที่ดีก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นก่อให้เกิดความพึงพอใจแก่เรา ความดีคือสิ่งที่เราพึงพอใจหรือชอบใจ ความดีจึงเป็นเรื่องอัตนัยของโซฟิสต์ ความดีก็ไม่จำเป็นต้องมีธรรมอันใด

พลาโต้ไม่เห็นด้วยกับโซฟิสต์ ทัศนะของพลาโต้ ความดีกับความพึงพอใจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ท่านกล่าวว่า “มีสิ่งที่เป็นความดีและสิ่งที่เป็นความพึงพอใจ แต่...ความพึงพอใจไม่ใช่อันเดียวกันกับความดี และการแสวงหากับวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งทั้งสองก็เป็นคนละอย่าง การแสวงหาความพึงพอใจเป็นอย่างหนึ่ง การแสวงหาความดีก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง” จริยศาสตร์ของโซฟิสต์จึงถูกพลาโต้หักล้าง

ข้อแตกต่างประการสำคัญระหว่างโซฟิสต์กับพลาโต้อยู่ที่ว่าโซฟิสต์สอน ให้คนทำความดีตามความรู้สึกพึงพอใจ แต่พลาโต้สอนให้ทำความดีด้วยเหตุผล ความรู้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการทำความดี พลาโต้แบ่งคุณธรรมหรือการทำความดีออกเป็น 2 ระดับ คือ คุณธรรมทางสังคมกับคุณธรรมทางปรัชญา

การทำความดีที่พลาโต้ยกย่อง คือการกระทำที่ประกอบด้วยเหตุผล คือมีความรู้ว่าการกระทำนั้นนำไปสู่จุดหมายปลายสูงสุดอันใด เรียกว่าคุณธรรมทางปรัชญา ความดีในปรัชญาของพลาโต้หมายถึง การกระทำด้วยความรู้ สิ่งที่ตนกำลังทำเป็นสิ่งที่ดี นำไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดอันใด

ความดีสูงสุด คือสิ่งที่เป็นความดีสูงสุดได้แก่ มโนคติแห่งความดี อันเป็นประธานสูงสุดอยู่ในโลกแห่งมโนคติ

คุณธรรม (Virtue)
วิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดหมาย สูงสุดของชีวิต เรียกว่าคุณธรรม ปรัชญาในทัศนะของพลาโต้หมายถึงการเพ่งพินิจมโนคติ มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายกับวิญญาณแห่งเหตุผลและวิญญาณไร้เหตุผล “ความสุข” ในปรัชญาของพลาโต้ หมายถึงการดำรงชีวิตที่ผสมกลมกลืนคุณธรรม คนดี คือผู้ที่มีคุณธรรม 4 ประการ ดังต่อไปนี้
  1. ปัญญา (Wisdom) เกิดจากการใช้สมรรถภาพแห่งเหตุผลวิญญาณแห่งเหตุผล คนมีปัญญาคือผู้ที่รู้จักมโนคติเป็นผู้ที่ใช้เหตุผลกำหนดชี้นำพฤติกรรมของตน
  2. ความกล้าหาญ (courage) ความกล้าหาญที่มีเหตุผลนำหน้า ไม่ใช่กล้าอย่างบ้าบิ่น คนกล้าคือคนที่บุกในคราวที่ควรบุก และถอยในคราวที่ควรถอย
  3. การรู้จักประมาณ (Temperance) เกิดจากการใช้เหตุผลควบคุมความต้องการอันเป็นสมรถภาพของวิญญาณขั้นต่ำสุดให้อยู่ในขีดพอดี
  4. ความยุติธรรม (Justice) หมายถึงความสมดุลภายในใจของบุคคลผู้ที่มีวิญญาณทั้งาสมส่วนทำหน้าที่ของตนประสานงานกันอย่างเหมาะสม
ทัศนะของพลาโต้ คนดีเป็นคนทีมีปัญญา กล้าหาญ รู้จักประมาณ และทรงความยุติธรรม คนจะดีหรือเลวดูกันที่คุณธรรมในใจของเขา

ปรัชญาการเมืองของพลาโต้
รัฐที่ดีควรยึดระบอบการปกครองใด อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองควรตกอยู่ในมือใคร อะไรคือคุณธรรมของนักปกครอง ประชาชนควรมีสิทธิเสรีภาพมากเพียงใด คำตอบของพลาโต้ต่อปัญหาดังกล่าว ได้จากบทสนทนาชื่อ อุดมรัฐ (Repulic)

นครรัฐ
สิ่งที่ควรทราบ คือคำว่า “รัฐ” (Polis) พลาโต้หมายถึง “นครรัฐ” ของกรีกโบราณอย่างสปาร์ตาและเอเธนส์ การปกครองที่ดีในรัฐการปกครองของพลาโต้อยู่ในรัฐที่พลาโต้คิดมีอยู่ในรัฐ อุดมคติหรือรัฐในความคิดของพลาโต้

อุดมรัฐ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เพราะมนุษย์ไม่อาจอย่างลำพังคนเดียว ความจำเป็นทางเศรษฐกิจบีบบังคับให้มนุษย์รวมกลุ่มกันเป็นสังคม เป็นรัฐ รัฐจึงเป็นสถาบันที่จำต้องมี เมื่อมีรัฐขึ้นมาแล้วก็ควรพัฒนารัฐให้ดียิ่งขึ้น พลาโต้ได้เสนอแบบอย่างของรัฐที่ดี สมบูรณ์ เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนารัฐต่างๆ จึงเกิดรัฐที่ดีที่สมบูรณ์เกิดขึ้นในรัฐอุดมคติของพลาโต้

รัฐเกิดจากการรวมกลุ่มของบุคคลจำนวนมาก รัฐประกอบด้วยชนชั้น 3 ระดับคือ
  1. นักปกครอง ในอุดมรัฐ อำนาจทางการเมืองทั้งหมดตกอยู่ในมือของนักปกครองซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย ผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นพิเศษเพื่อนำเป็นผู้นำของรัฐ นักปกครองมีหน้าที่ออกกฎหมายและกำหนดนโยบายของรัฐ คุณธรรมของนักปกครอง คือความมีปัญญาหยั่งเห็นมโนคติ หรือนักปกครองต้องเป็นนักปรัชญา รัฐในอุดมคติจะต้องได้คนมีปัญญาหรือนักปรัชญาเป็นผู้ปกครอง
     
  2. พิทักษชน(Guardians) หน้าที่พิทักษชนคือการกวดขันให้ราษฎรเคารพเชื่อฟังกฎหมายที่มาจากนักปกครอง พิทักษชนคือผู้ทำหน้าที่ทหารตำรวจและข้าราชการพลเรือน คุณธรรมประจำพิทักษชนคือความกล้าหาญ
     
  3. ราษฎร เป็นชนชั้นผู้ถูกปกครองซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในรัฐ คือประชาชนธรรมดาผู้ประกอบการอาชีพการงานต่างๆ เพื่อผลิตสินค้าและการบริการให้แก่รัฐ คุณธรรมของราษฎรคือการรู้จักประมาณ
ความยุติธรรม
ความยุติธรรมเกิดขึ้นในใจของปัจเจกบุคคลต่อเมื่อมีเหตุผล อารมณ์และความต้องการทำงานประสานกลมกลืน ความยุติธรรมในรัฐก็เกิดจากการที่ชนชั้นทั้ง 3 ระดับปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ประสานกลมกลืนกับชนชั้นอื่นๆ ไม่มีการขัดแย้งหรือก้าวก่ายหน้าที่ทุกคนเชื่อฟังกันตามลำดับชั้น

เงื่อนไขที่ช่วยให้เกิดความยุติธรรมคือนักครองและพิทักษชนต้องไม่มี ทรัพย์สินส่วนตัว ไม่มีแม้กระทั่งครอบครัวส่วนตัว ราษฎรเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้มีครอบครัว พิทักษ์ชนจะตรวจตราและจำกัดปริมาณทรัพย์สินของราษฎร เพื่อให้ทุกคนมีความเสมอภาคในด้านเศรษฐกิจยาจกและเศรษฐีจะไม่มีในอุดมรัฐ

สังคมนิยม
ทรัพย์สินทั้งหมดของนักปกครองและพิทักษชนตกเป็นสมบัติส่วนกลาง ที่ทุกคนมีสิทธิใช้ร่วมกัน เหตุที่พลาโต้กำหนดให้เลิกมีทรัพย์สิน เมื่อทุกคนไม่มีผลประโยชน์และการทุจริตคอร์รัปชั่นก็ไม่มี ทุกคนมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน การให้สตรีมีความเสมอภาคเท่าเทียมชาย ลัทธิผัวเดียวเมียเดียวไม่มีในอุดมรัฐ

การศึกษา
ในอุดมรัฐ การศึกษาเป็นเครื่องมือในการแบ่งชนชั้น ใครจะสังกัดอยู่ในชนชั้นใด ขึ้นอยู่กับความสามารถในการศึกษาองเขาถึงจะมีระบบชนชั้น การศึกษาในอุดมรัฐมีลำดับชั้น 4 ลำดับดังนี้
  1. เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี จะได้รับการศึกษาเท่าเทียมกันทั้งหญิงและชาย
  2. เมื่ออายุครบ 20 ปี สอบคัดเลือก ผู้สอบตกจะออกไปประกอบอาชีพเป็นชนชั้นราษฎร ผู้สอบได้จะเรียนต่อไปอีก 10 ปี
  3. ครั้นมีอายุครบ 30 ปี มีการสอบอีกครั้งหนึ่ง ผู้สอบตกจะออกไปทำงานหน้าที่ของ พิทักษชน ผู้สอบได้จะเรียนต่อไปอีก 5 ปี
  4. ทุกคนเรียนจบหลักสูตรเมื่ออายุ 35 ปี จากนั้นออกไปฝึกงานอีก 15 ปี จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 50 ปี มีสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งกษัตริย์นักปรัชญาตามวาระที่หมุนเวียนมาถึง
ระบอบการปกครอง
สรุปรัฐในอุดมคติ ระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในทัศนะของพลาโต้คืออภิชนาธิปไตย(Aristocracy) ที่อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองตกอยู่ในมือของชนชั้นสูงผู้ถูกคัดเลือกโดยระบบ การปกครองตกอยู่ในมือของชนชั้นสูงผู้ถูกคัดเลือกโดยระบบการศึกษามิใช่ผู้มา จากตระกูลมั่งคั่งหรือผู้ดี พลาโต้ได้สรุประบอบการปกครองของกรีกโบราณไว้ 4 แบบ ที่มีความใกล้เคียงกับรัฐในอุดมคติของพลาโต้มากที่สุดไปหาน้อยที่สุดดังนี้
  1. โยธาธิปไตย (Timarchy) ชนชั้นปกครองเป็นนักรบ ส่วนชนชั้นผู้ถูกปกครองเป็นทาสติดที่ดิน ทาสเหล่านี้คือชนชั้นราษฎรในอุดมรัฐผู้ “ถูกลดฐานะลงเป็นทาสและคนใช้”
  2. คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองโดยคนมั่งคั่งเพื่อคนมั่งคั่ง คุณธรรมในสังคมไม่มีความหมาย “เมื่อความมั่งคั่งและคนมั่งมีได้รับการยกย่องในรัฐ คุณธรรมและคนดีย่อมจะถูกเหยียดหยาม
  3. ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นการปกครองโดยคนจนเพื่อคนจน ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของรัฐ “ประชาธิปไตยเกิดขึ้นเมื่อคนยากไร้ได้รับชัยชนะ” เหนือคนมั่งมี ประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้คนไร้ประสิทธิภาพปละขาดการอบรมมาปกครองรัฐ
  4. ทรราช (Tyranmy) คือการปกครองโดยนักเผด็จการผู้กดขี่ประชาชนลงทาสในระยะเริ่มแรก ทรราชเป็นวีรบุรุษในสายตาของประชาชน ขึ้นมาจัดระเบียบให้แก่สังคมที่ระส่ำระสายเพราะการใช้เสรีภาพเกินขอบเขตของ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย “ระบอบทรราชเป็นการปกครองที่เลวร้ายที่สุดในบรรดารัฐบาลที่ไร้กฎหมาย เพราะมันสามารถทำอันตรายได้มากที่สุด”
สุนทรียศาสตร์ของพลาโต้
สุนทรียศาสตร์หมายถึงปรัชญาที่เกี่ยวกับความงามศิลปะ ความงามไม่ได้ถูกผูกขาดอยู่กับผลงานของศิลปิน งานด้านศิลปะเป็นสิ่งที่งามเพราะมันเลียนแบบโนคติของความงาม งานด้านศิลปะไม่อาจนับเป็นสิ่งที่งามที่สุด ความงามที่แท้จริงอยู่ในโลกมโนคติ ชีวิตอันประเสริฐคือชีวิตของผู้เพ่งพินิจมโนคติของความงาม ความงามที่สมบูรณ์ไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส แต่เป็นสิ่งที่ต้องเพ่งพินิจด้วยเหตุผลหรือพุทธิปัญญา

ศิลปะ
พลาโต้ไม่ได้ยกย่องเชิดชูศิลปะ ท่านเห็นว่าศิลปะคือการเลียนแบบ งานด้านศิลปะเป็นมายาที่ “หนีห่างจากความจริงถึงระยะ 3 ระยะ” คือ ศิลปะเลียนแบบสิ่งเฉาะ สิ่งเฉพาะเลียนแบบมโนคติ ผู้ที่หลงติดอยู่ในศิลปะจะไม่มีวันเข้าถึงมโนคติซึ่งเป็นความจริงแท้ เป็นเหมือนคนที่หลงชื่นชมอยู่กับเงาของเงา พลาโต้เห็นว่าศิลปะไม่มีคุณค่าในตัวเอง ท่านไม่เชื่อเรื่องศิลปะ ศิลปะที่ดีมีมาตรฐานควรแก่การยอมรับจะต้องเดินตามเงื่อนไข 3 ประการตาที่พลาโต้วางไว้ดังนี้

1. ศิลปะต้องเลียนแบบได้เหมือนของจริงต้นฉบับ
2. ศิลปะต้องส่งเสริมศีลธรรม คือเป็นเครื่องมือสั่งสอนให้ประชาชนรู้จักความดี
3. ศิลปะจะต้องก่อให้เกิดความพึงพอใจ งานด้านศิลปะต้องดึงดูดใจและสร้างความรื่นรมย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น